Lighting Design โคมไฟกับการแต่งบ้านสำคัญไฉน?
องค์ประกอบของการแต่งบ้านสวยๆ หลังหนึ่งไม่ได้มีแค่เฟอร์นิเจอร์หลากชิ้นดีไซน์เก๋กับพร๊อพสวยๆ เท่านั้นนะคะ…แต่ยังมีการตกแต่งอีกประเภทที่ช่วยเติมเต็มบ้านให้สมบูรณ์ นั่นก็คือ “ศาสตร์ของแสง” ค่ะ
Lighting Design ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกร่วมของผู้อยู่อาศัย
ประโยชน์ของ Light Design คือ อะไร?
การออกแบบแสงสว่าง (Lighting Design) คือ ศิลปะของการใช้แสงเพื่อการออกแบบงานตกแต่งภายในและภายนอก ประโยชน์เด่นชัด นอกจากแสงสว่างเพื่อการมองเห็นแล้วนั้น ก็คือ การเสริมสร้างความรู้สึกร่วมของผู้อยู่อาศัย ให้การอยู่บ้านรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น สามารถสวิสต์เปลี่ยน Mood & Tone ของผู้อยู่อาศัยให้เป็นไปตามลูกเล่นของแสงที่มีในบ้าน ทั้งอบอุ่น ผ่อนคลาย ตื่นเต้น เน้นย้ำ สงบ เรียกว่าบ้านหนึ่งหลังเต็มไปด้วยผลลัพธ์ทางอารมณ์เชิงบวกได้อย่างดีค่ะ
แสงแบ่งออกเป็นกี่ชนิด?
แสงแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
1. Natural Light
หรือ แสงอาทิตย์ทั่วไปนี่ละคะ โดยปกติแบบบ้านจะมีหน้าต่างบานใหญ่ กระจกประตูระเบียง ไว้ต้อนรับแสงธรรมชาติจากภายนอกอยู่แล้ว เว้นแต่การออกแบบตามความชอบส่วนตัวว่า “ใครชอบแสงแดดมากหรือน้อย” อย่างสภาพอากาศของประเทศไทยจัดว่าร้อนมากๆๆๆ หน้าต่างอาจจะบานเล็ก หรืออาจต้องมีลูกเล่นเสริมติดฟิลม์ลดแสง กันความร้อนและแสง UV สะท้อน ส่วนแบบบ้านฝรั่งอากาศหนาวๆ อาจจะออกแบบเป็น Glass House รับแสงอย่างเต็มที่กันไปเลยก็มีค่ะ
ข้อดี คือ ธรรมชาติแท้ๆ ผู้อยู่อาศัยรู้สึกดีได้โดยไม่ต้องแต่งเติม ส่วนข้อเสีย คือ แสงจ้าและแสงมืดตามช่วงเวลาธรรมชาติ รวมทั้งอาจจะควบคุมการเล่นแสงยากซักหน่อย ทิศทางตกกระทบอาจสร้างความเสียหายให้กับเฟอร์นิเจอร์บ้าง
2. Artificial Light
หรือ แสงประดิษฐ์ แสงจากโคมไฟที่ใช้ภายในภายนอกบ้านที่ใช้กันทั่วไปค่ะ จะมีรูปแบบ คุณสมบัติและกำลังจ่ายไฟ แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์การใช้งาน และแตกต่างกันตามแต่ละสถานที่ บ้าน ออฟฟิศ อาคาร หอประชุม พิพิทธภัณฑ์ ห้างสรรพสินค้า สนามบิน เป็นต้น
ข้อดี คือ ควบคุมง่าย การใช้งานถูกวัตถุประสงค์นั้นๆ โดยมีดีไซน์หลากหลายเพื่อประโยชน์แตกต่างกันไป ดังเช่น ร้านค้าใช้ไฟส่องเน้นผลิตภัณฑ์ให้เด่นชัด สนามบินใช้ไฟที่ส่องสว่างเท่ากันทั่วถึง
ดังนั้น อสังหา 101 จึงขอแยกย่อยเฉพาะ Artificial Light ที่ใช้ภายในบ้านลงลึกกันไปซักหน่อย ว่าแบบที่นิยมใช้กันแพร่หลายแต่ละอย่างเรียกว่าอะไร ใช้ทำอะไรบ้าง และช่วยงานตกแต่งบ้านได้อย่างไร ไปติดตามกันต่อค่ะ
โคมไฟและการตกแต่งบ้าน
โดยหลักการโคมไฟจะถูกติดตั้ง 3 จุดหลัก คือ ฝ้า ผนัง และตั้งพื้น จากประเภทการใช้งานนั้น จึงเป็นที่ยอมรับกันว่าสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. Ambient Lighting หรือ General Lighting
เป็นโคมไฟตัวพื้นฐานที่สุด หรือไฟบ้านทั่วๆไป กดสวิสต์เดียวสว่างทั้งหลัง พบเห็นและนิยมใช้มากที่สุด เพราะ…สามารถใช้ได้ทุกสถานที่ ทั้งกลางวันและกลางคืน วัตถุประสงค์การใช้งานไม่ซับซ้อน เพียงแค่ต้องการความสว่างให้สามารถทำได้ทุกกิจกรรมค่ะ
แต่ถึงอย่างนั้น…ขึ้นชื่อว่า Interior Design เหล่าดีไซน์เนอร์สมัยนี้ก็ครีเอทงานออกแบบดีๆ ได้เสมอ แม้ว่าจะเป็นไฟแบบ All-Purpose แต่ก็มีความสวยได้เหมือนกัน โคมไฟที่จัดว่าอยู่กลุ่มเดียวกัน มีดังนี้
“Ceiling Light” คือ ไฟประเภทติดฝ้า เพื่อให้แสงสว่างแผ่กระจายทุกทิศทาง คล้ายแสงธรรมชาติ หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า “โคมซาลาเปา” พบเห็นได้ตามบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ติดได้ทั้งในบ้านและระเบียงพักนอกบ้าน
ขึ้นชื่อว่า Interior Design ก็ครีเอทงานดีๆ ได้เสมอ แม้ว่าจะเป็นไฟแบบ All-Purpose แต่ก็มีความสวยได้เหมือนกัน...
“Recessed Lighting” หรือ “Downlight” คือ หลอดจิ๋วทรงพลังหลากสี สามารถหรี่ปรับแสงได้ (Dimmer) ตามความชอบ นิยมดีไซน์เรียบขนานฝังฝ้า แต่เนื่องจากขนาดหลอดที่เล็ก การกระจายแสงจะแคบกว่า Ceiling Light ดังนั้นเราควรเลือกติดตั้ง 2-4 หลอดขึ้นไปกระจายรอบห้อง เพื่อให้แสงสว่างพอเพียงกับการใช้งาน ดีไซน์นี้ทำให้บ้านดูทันสมัย ใช้กับห้องต่างๆ ภายในบ้านหรือคอนโดมิเนียมเป็นส่วนใหญ่
“Chandeliers” คือ โคมระย้าเป็นพวงหรูหรา ห้อยลงมาจากเพดาน ราคาแพงที่ทุกคนนึกภาพออกกันแน่นอนค่ะ โคมประเภทนี้เข้าหมวด Ambien และ Decorative Lighting ที่นอกจากความสว่างแล้ว ยังสวยหรูหรา เลอค่า สร้างบรรยากาศของบ้านให้ลักชูรี่เข้าไปอีก ใครที่รักการแต่งบ้าน มีพื้นที่กว้างขวาง และไม่จำกัดงบประมาณ เป็นต้องมีชานเดอเลียร์ติดอยู่ที่ห้องนั่งเล่น หรือโถงบันไดค่ะ
2. Task Lighting
เป็นโคมไฟเพื่อการใช้งานตามแต่ละวัตถุประสงค์เฉพาะนั้นๆ เช่น ไฟหัวเตียง ไฟแต่งหน้า ไฟตู้เสื้อผ้า ไฟทางเดิน อ่านหนังสือ ทานข้าว ทำอาหาร โดยแสงไฟจะมีกำลังวัตต์ และสีตามการใช้งานที่เหมาะสม มองเห็นคมชัด ป้องกันอาการสายตาเมื่อยล้า เพ่ง จากแสง Ambient ที่ไม่พอหรือส่องไม่ตรงจุด
โคมไฟประเภทนี้จะติดตั้งอยู่เหนือระดับสายตาเล็กน้อย ออกแบบให้โคมสามารถปรับโค้งได้ตามอริยาบท มีอยู่หลายรูปแบบ เช่น
“Table Lamp” คือ โคมไฟอ่านหนังสือ เชื่อว่าทุกบ้านต้องมีเจ้าสิ่งนี้ตั้งวางอยู่บนโต๊ะทำงาน เพื่อใช้ทำงานยามค่ำคืน แนะนำให้ใช้หลอด LED เพื่อสร้างประสิทธิภาพการอ่านและถนอมสายตาได้อย่างดีค่ะ
“Standing Lamp” คือ โคมไฟอ่านหนังสืออีกประเภท และยังเป็นโคมไฟส่องสว่างทั่วไปได้อีก ได้รับความนิยมให้เป็น Decorative Lighting หรือของแต่งบ้านเช่นกัน วางไว้ได้ทั้งข้างเตียง ข้างโซฟา เพื่อนั่งพักผ่อน อ่านหนังสือกันสบายๆ สายตา
“Under Cabinet Lighting” คือไฟซ้อนใต้ตู้แขวนภายในครัว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญสำหรับทุกบ้านค่ะ เพราะโดยหลักการตัวเราจะยืนบังแสงไฟเพดานที่อยู่สูงเหนือศรีษะ เมื่อเราหันหน้าเข้าเคาท์เตอร์ครัว ทำให้การทำครัวอาจมืดเกินไปซักนิดที่จะหยิบจับหันนู่นนี่ ครัวโมเดิร์นรุ่นใหม่ๆ จึงมีฟังก์ชั่นการใช้งานประเภทนี้ติดตั้งมาพร้อมใช้งาน โดยเฉพาะครัวสำเร็จในคอนโดมิเนียม
“Pendant Lighting” เป็นโคมแขวนห้อยจากเพดาน ใช้ได้ทั้งตกแต่งและส่องเน้นการใช้งานจริง โดยส่วนมากใช้ติดตั้งบริเวณโต๊ะอาหาร โต๊ะกาแฟ เพื่อส่องเน้นอาหารน่าทานบนโต๊ะ สร้างบรรยากาศลุ่มลึก Interior Designer ได้ออกแบบดีไซน์ทันสมัย มีทั้งโคมไฟดวงเดียว หรือหลายดวงไล่ระดับ ได้ทั้งใช้งานและเทสต์ของผู้อยู่อาศัย
3. Accent Lighting
โคมไฟเพื่อใช้สำหรับจุด Best Spot มีลักษณะแสงมุมแคบ เน้นส่องเฉพาะจุด นิยมติดตั้งที่ห้องนั่งเล่น เช่น ดิสเพลย์ชั้นวางของ รูปปั้น วัตถุ งานศิลป์ หรือส่องเน้นรูปภาพแขวนผนัง
จะว่าไปก็คล้ายกับ Task Lighting ในเรื่องของจุดประสงค์การใช้งานชัดเจน แต่แตกต่างกันที่ดีไซน์ มีรูปแบบต่างๆ ดังนี้
“Wall Light” คือ ไฟแขวนผนัง พบเห็นได้ตามช่วงทางเดิน Hallway ต่างๆ เพื่อให้แสงสว่างเป็นช่วงๆ ไปตลอดทาง ให้ดูมีมิติมากกว่าภาพมุมแบนๆ
“Track Lighting” คือ รางโคมไฟ ที่แขวนรางบนฝ้าและติดตั้งตัวโคมยื่นออกมาซัก 3-5 ดวง การตกแต่งประเภทนี้พบเห็นได้บ่อยตั้งแต่ร้านกาแฟ พิพิทธภัณฑ์ ยันบ้านเรือน โดยมีสไตล์แต่งบ้านที่เข้าคู่กัน ดังเช่น Loft Style
“Spotlight” เป็นดวงไฟที่ส่องลง มุมแคบ เพื่อเน้นเจาะจงไปที่วัสดุหรือมุมนั้นๆ ให้โดดเด่นขึ้นมา ดีไซน์นี้ใช้ในการแต่งบ้านเพื่ออวดของสะสม งานฝีมือ สิ่งประดิษฐ์ หรือภาพวาดต่างๆ ของเจ้าของบ้าน และเนรมิตบ้านให้เป็นมากกว่าแค่ที่อยู่อาศัยค่ะ
วิธีออกแบบ Light Design กับการแต่งบ้าน ทำอย่างไร?
- เริ่มจากดีไซน์การใช้งานแต่ละพื้นที่ในบ้าน และเลือกเฟอร์นิเจอร์ไปในทิศทางเดียวกัน
- ออกแบบให้โคมไฟทุกดวงมีประโยชน์จริงๆ หรือ Multi-Purpose ให้ทั้งแสงสว่างและการตกแต่ง กำหนดจำนวนดวงโคมที่เหมาะสม และจัดวางถูกตำแหน่ง
- อย่าตกแต่งล้นเกินความต้องการ ให้คงความเรียบง่าย ไม่ขโมยซีนงานดีไซน์หลักของห้อง
- การออกแบบแสงไฟที่ดีต้องมีฟังก์ชั่นครบ ไม่ลืมความสวยงาม ตรงกับธีมของภาพรวม
- อย่าลืม! คำนึงถึงคุณสมบัติของหลอดไฟร่วมด้วย เลือกใช้ให้ถูกประเภท มีอายุการใช้งานนาน ประหยัดพลังงาน และลดค่าใช้จ่าย แนะนำให้เลือกใช้หลอด LED เท่านั้นนะคะ
เทคนิคของแสงช่วยด้านจิตวิทยา อารมณ์และความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยได้จริง อย่าลืมนำความรู้ดีๆ ไปปรับใช้กับการแต่งบ้านของทุกคนด้วยนะคะ…