เพราะอะไร? คนจีนถึงชอบซื้ออสังหาต่างประเทศ
ปัจจุบันนี้ จีนยังคงรั้งอันดับประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก จำนวนกว่า 1,400 ล้านคน ทำให้ปริมาณความต้องการทางทรัพยากรและสินค้าอุปโภคบริโภคมีมากกว่าประเทศที่มีประชากรบางเบา
ในวงการอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นกัน ว่ากันตามจริงแล้ว ลูกค้าชาวจีนถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในโลก และยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อรวมกับกลุ่มลูกค้าจากฮ่องกง หากย้อนไปปี 2011 จีนเผชิญวิกฤตฟองสบู่บ้านครั้งใหญ่ (Housing Bubble) ส่งผลให้เกิดภาวะห้องชุดล้นตลาดยาวนานต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2005 ตามรายงานของฟอร์บส์
ทั้งๆ ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ทำไมจีนยังคงเป็นขึ้นแท่นอันดับหนึ่งนักลงทุนอสังหาอยู่ดี โดยเฉพาะอสังหาในต่างแดน มาดู 6 เหตุผลหลักไปพร้อมกันค่ะ
อสังหาภายในประเทศได้ผลกำไรที่ต่ำเพราะภาวะบ้านล้นตลาด จึงมองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะนำมาซึ่งความคุ้มค่าคุ้มราคากว่า
1. ความต่างชัดของราคา
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า จากข้อมูลการซื้อที่อยู่อาศัยตั้งแต่เมษายน 2018 ถึงมีนาคม 2019 ลูกค้าชาวจีนยังคงมียอดซื้ออสังหาสูงสุดเป็นปีที่ 7 ประมาณ 13.4 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ แม้เศรษฐกิจจีนปีนี้จะเติบโตช้าลงอยู่ที่ 6.3% บวกกับความเข็มงวดกวดขันการซื้ออสังหานอกประเทศของรัฐบาลจีนแล้วก็ตาม
แม้ชาวจีนจะเอือมสหรัฐอยู่บ้างจากกระแสทางการเมือง แต่แคลิฟอร์เนียตอนใต้ก็ยังคงเป็นที่สนใจของบรรดาพ่อแม่ที่ส่งลูกหลานเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ดี ยังไม่รวมถึงแคนาดา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส รวมทั้งภาคพื้นเอเชียอย่างไทย เวียดนามที่มีราคาตั้งต้นอสังหาไม่สูงนัก
ประกอบกับตลาดอสังหาภายในประเทศได้ผลกำไรที่ต่ำเพราะภาวะบ้านล้นตลาด จึงอาจกล่าวได้ว่าชาวจีนมองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะนำมาซึ่งความคุ้มค่าคุ้มราคากว่า
2. ข้อบังคับของรัฐบาล
ที่ดินส่วนใหญ่ถือเป็นทรัพย์สินของรัฐ ด้วยกฎหมายทรัพย์สินและที่ดินระบุไว้ว่าประชาชนมีสิทธิ์ใช้แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นถือครอง โดยมีสิทธิ์ 70 ปีสำหรับที่อยู่พักอาศัย และ 40-50 ปีสำหรับอุตสาหกรรม
การจำกัดสิทธิ์ถือครองจึงอาจไม่ใช่หลักการของการลงทุนนัก แม้จะสามารถต่อสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวนี้ได้ แต่ก็ไม่ใช้เจ้าของกรรมสิทธิ์ ทั้งยังไม่สามารถสืบทอดต่อลูกหลานได้อีก พวกเขาจึงมองหาประเทศที่ผ่อนผันได้มากกว่าอย่างฝรั่งเศส อิตาลี ออสเตรเลีย และแน่นอนว่าประเทศเสรีอย่างไทยด้วยเช่นกันค่ะ
3. ตัวเลือกหลากหลาย
ประเทศจีนใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากรัสเซีย แคนาดา สหรัฐฯ จึงย่อมมีอสังหาเป็นตัวเลือกหลากหลาย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่มากเกินไปสำหรับนักลงทุนอยู่ดี ทั้งกฎหมายข้อบังคับที่แสนเข้มงวด ข้อจำกัดแบบของโครงการ และราคาอันสูงลิ่ว
ขณะที่การแสวงหาอสังหาของที่อื่นนอกประเทศนั้นมีผลการลงทุนที่หลากหลายกว่า เพราะ แต่ละประเทศมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและปัจจัยที่มีอิทธิพลแตกต่างกัน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อการลงทุนมีความแปรผัน (ROI) มากกว่า
4. สิ่งแวดล้อมแปรเปลี่ยน
เหตุผลที่เห็นได้ชัดที่สุดว่าทำไมชาวจีนนิยมซื้อบ้านที่ต่างประเทศ คือ การย้ายถิ่นฐานออกจากประเทศตนเอง เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ โดยกลุ่มครอบครัวมีฐานะจะส่งบุตรหลานไปเรียนต่างประเทศเพื่ออนาคตที่มั่นคงจนถึงโอกาสการทำงานที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า
หรือบางเหตุผลอื่น เช่น ย้ายเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า เพราะประเทศจีนประสบปัญหามลพิษทางอากาศย่ำแย่ในเมืองใหญ่จนต้องบังคับปิดโรงเรียน หรือภาวะขาดแสงแดดของภาคการเกษตร แม้พยายามแก้ไขมาช้านานแล้วก็ตาม
การย้ายถิ่นฐานออกจากประเทศตนเอง เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ เพื่ออนาคตที่มั่นคง โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า
5. ผลตอบแทนการเช่า (Rental Yield)
อ้างอิงจาก Globalpropertyguide.com ระบุว่าผลตอบแทนการเช่าของจีนอยู่ลำดับต่ำเกือบสุดที่ 11 จากทั้งหมด 12 อันดับในเอเชีย อยู่ที่ 2.1% อันดับสูงสุดคืออินโดนีเซียที่ 7.09% และไทยอยู่ลำดับที่ 4 ได้ 5.13%
ตัวเลขที่ชัดเจนเช่นนี้เป็นตัววัดให้ทั้งนักลงทุนและผู้สนใจซื้อทั่วไป เอนเอียงซื้ออสังหาในต่างประเทศมากขึ้น
6. สถานะทางสังคม
กล่าวได้ว่าจีนและสหรัฐต่างขับคู่นักธุรกิจรวยหลายพันล้านติดอันดับโลกกันมาตลอด ด้วยภาพลักษณ์ที่ดีเช่นนี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญกับครอบครัวชาวจีน โดยเฉพาะการมีจุดยืนที่ดีในสังคมจะช่วยสร้างทั้งสติปัญญาและความสำเร็จในอนาคตให้มากยิ่งขึ้น นั่นรวมถึงการมีอสังหาริมทรัพย์ในครอบครองหลายๆ ที่ ก็ช่วยยกระดับให้ดีขึ้นได้เช่นกัน
กลุ่มผู้ซื้อชาวจีนยังคงเป็นกลุ่มที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และคาดการณ์ว่าในปี 2020 เงินจะสะพัดในวงธุรกิจอสังหาถึง 220 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลจาก Juwai.com ต้องติดตามกันต่อไปค่ะ